สาเหตุ : ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากติ่งเนื้อขนาดเล็กภายในลำไส้ใหญ่ เมื่อปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการรักษาอาจลุกลาม หรืออาจเกิดขึ้นจากการกลายพันธุ์ของยีน จนไม่สามารถควบคุมการทำงานของเซลล์ได้ นอกจากนี้ผู้ที่มีประวัติครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ อายุที่มากขึ้น การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ ก็มีโอกาสเสี่ยงเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เช่นกัน

อาการ : ผู้ป่วยแต่ละคนอาจมีอาการแตกต่างกันขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของเนื้องอก บางรายอาจไม่มีอาการแสดงในช่วงแรก แต่จะแสดงอาการเมื่อเป็นโรคได้หลายปีแล้ว

• พฤติกรรมการขับถ่ายเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น ท้องเสีย ท้องผูก ท้องอืด และมักเกิดขึ้นนานหลายสัปดาห์
• ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด หรือรู้สึกถ่ายไม่สุด
• ปวดท้อง ไม่สบายท้อง หรืออาหารไม่ย่อย
• รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และน้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ

การตรวจวินิจฉัย : แพทย์จะสอบถามประวัติอาการและการรักษาของผู้ป่วย ประวัติครอบครัว และตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยเฉพาะช่องท้องและทวารหนัก รวมถึงการตรวจด้วยวิธีอื่นๆ

• การตรวจสวนแป้งมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยสวนแป้งแบบแบเรียมที่เป็นสารทึบรังสีในผู้ป่วยก่อนมีการถ่ายภาพเอกซ์เรย์ เพื่อตรวจหาเนื้องอกหรือความผิดปกติ
• การตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยเทคนิคภาพเสมือน เป็นถ่ายภาพรังสีผ่านช่องท้องด้วยเครื่อง CT Scan เพื่อให้เห็นรายละเอียดภายในลำไส้ใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น โดยไม่ต้องใช้กล้องสอดผ่านทวารหนักเข้าไปยังลำไส้ใหญ่
• การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) เป็นการตรวจดูการทำงานของลำไส้ใหญ่ทั้งหมดผ่านกล้อง และสามารถเก็บชิ้นเนื้อที่สงสัยไปตรวจวิเคราะห์ได้

จุดเด่นของการตรวจคัดกรองมะเร็งด้วยการส่องกล้อง

1. มีประสิทธิภาพสูงสุด และถือเป็นมาตรฐานในการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่
2. ไม่เจ็บ ใช้เวลาไม่นาน และไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
3. สามารถตรวจเจอติ่งเนื้อได้ตั้งแต่ระยะที่ยังไม่กลายเป็นมะเร็ง และตัดออกเพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยไม่ต้องตรวจบ่อยๆ หากผลปกติ ควรตรวจซ้ำอีกครั้งในระยะ 5 – 10 ปี

การรักษา : ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของมะเร็ง ระยะของโรค รวมถึงสภาพร่างกายและความพร้อมของผู้ป่วย โดยการรักษาที่ดีที่สุด คือ การผ่าตัดเอาลำไส้ใหญ่ส่วนที่มีเนื้อร้ายออก ส่วนการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือคีโมเป็นการรักษาเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตหรือทำลายเซลล์มะเร็งในร่างกาย ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่อาจใช้หลังการผ่าตัด

ด้วยความปรารถนาดีจาก.. ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลหัวเฉียว